วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

บทที่ 7 การประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์

ตอนที่ 3 

1. การเข้าสู่โปรแกรม ms-word มีขั้นตอนอย่างไร
    ตอบ  1.เลื่อนเมาส์คลิกที่ Start
             2.เลือก Program->Microsoft office->Microsoft office Word

2.การสร้างเอกสารใหม่มีวิธีการอย่างไร
   ตอบ  1.คลิกปุ่มเมนู File > คลิก New


              


3.การเปิดเอกสารเก่าที่มีอยู่แล้วมาแก้ไขมีวิธีการอย่างไร
   ตอบ 1.คลิกที่ File > open หรือคลิกที่ 


4.การบันทึกเอกสารมีขั้นตอนอย่างไร
   ตอบ   1.คลิกที่ File > Save หรือคลิกที่   
            2.เลือกบันทึกในโฟลเดอร์ ที่ต้องการ

5.การกำหนดส่วนหัวและส่วนท้ายเอกสารมีขั้นตอนอย่างไร
   ตอบ  1.คลิกเลือกที่ File > เลือก Page setup จะปรากฏ Page Setup dialog
            2.คลิกเลือกแผ่นงาน paper Size




6.การเติมสีลักษณะพิเศษมีขั้นตอนอย่างไร
   ตอบ  1.กำหนดวัตถุที่ต้องการเติม
            2.คลิกเลือก More fill colors เพื่อเติมสีที่ต้องการ
            3.คลิกเลือก File Effect เติมสีลักษณะพิเศษ
            4.เลือก Color กำหนดสีเดียวหรือ สองสี
            5.เลือก Shading styles แล้ว คลิก Ok

7.การแทรกคอลัมน์และแถวมีวิธีการอย่างไร
   ตอบ  1.เลื่อนเมาส์ไปยังตำแหน่งเริ่มต้นของตาราง
            2.คลิกที่ Table > เลือก Insert > Table
            3.กำหนดสดมภ์ (Columns) แนวตั้ง และจำนวนแถว (Rows) แนวนอน แล้วคลิก Ok




8.คำสั่ง Undo และ Redo มีวิธีการใช้งานอย่างไร
   ตอบ  Edit > Undo หรือคลิกที่  แต่ถ้าเปลี่ยนใจกลับมาใช้คำสั้งเดิม เรียกสั่งกลับคืนาาด้วย Edit > Redo หรือคลิกที่ 

9.ต้องการตีกรอบและใส่สีให้พื้นหลังข้อความมีขั้นตอนอย่างไร
   ตอบ  1.คลิกเมาส์ที่ตำแหน่งใดๆ ของย่อหน้าที่ต้องการตีกรอบ
            2.คลิกเมาส์ที่ปุ่ม  
            3.คลิกเมาส์เลือกแนวตีเส้น
การใส่สีพื้นหลัง
            1.คลิกเมาส์ที่ตำแหน่งใดๆ ของย่อหน้าที่ต้องการเน้น
            2.เลือกคำสั่ง Format > Border and Shading
            3.เลือก Shading
            4.เลือกสีหรือโทนสีที่ต้องการ แล้วคลิก Ok
    


10.การพิมพ์ผลงานออกทางเครื่องพิมพ์มีขั้นตอนอย่างไร
     ตอบ 1.ถ้าเอกสารเปิดอยู่แล้ว สั่งเพมพ์ได้ทันที โดยคลิกที่ 




บทที่ 8 การใช้โปรแกรมตารางงาน

ตอนที่ 1

1.โปรแกมตารางงานทำงานมีประโยชน์อย่างไร
    ตอบ  1.สามารถคำนวณข้อมูลได้จำนวนมาก
             2.ช่วยในการเรียงลำดับข้อมูล
             3.การกรอกข้อมูลจำนวนมากให้เหลื่อเฉพาะที่ต้องการ
             4.นำข้อมูลสร้างกราฟแบบต่างๆ
             5.พิมพ์แบบฟอร์ต่าๆ ในตารางได้

2.การเรียกชื่อเซลล์มีกี่วิธีการเรียกอย่างไร
   ตอบ การเรียกชื่อเซลล์ เรียกจากชื่อ หัวคอลัมน์ (สดมภ์) และหัวแถว

3.เซลล์สุดท้ายของตารางงานคือเซลล์อะไร มีวิธีการเรียกดูได้อย่างไร
   ตอบ เซลล์ IX เซลล์สุดท้ายคือ IV1

4.แผ่นงานแตกต่างจากสมุดงานอย่างไร
   ตอบ แผ่นงาน (Worksheet) คือแผ่นงานแผ่นเดียว แต่ถ้าแผ่นงาน หลายๆ แผ่นงานจะเป็นสมุดงาน (Work book)

5.การเปลี่ยนชื่่อแผ่นงานมีวิธีการอย่างไร
   ตอบ ดับเบิ้ลคลิกที่ Sheet 1 หรือแผ่นงานแล้วเปลี่ยนชื่อ

6.การคำนวณ (12-2 ^ 3) 3 * 9 + 7 มีลำดับการคำนวณอย่างไร
   ตอบ คำนวณตามลำดับจำนวนในวงเล็บก่อนเป็นอันดับแรกเสมอ

7.ฟังก์ชันพื้นฐานฟังก์ชันใดบ้างที่มีรูปแบบการใช้ฟังก์ันเหมือนกัน
   ตอบ  = ฟังก์ชัน (เซลล์เริ่มต้น เซลล์สุดท้าย) ถ้าอ้างอิงเซลล์ที่ไม่ต่อเนื่องกันใช้เครื่องหมาย , (คอมม่า)  คั่น

8.ฟังก์ชัน Count  และ Countif ต่างกันอย่างไร
   ตอบ ฟังก์ชัน count ใช้นับจำนวนข้อมูล ส่วน countif ใช้นับจำนวนข้อมูลอย่างมีเงื่อนไข

9.ฟังก์ชัน VLOOKUP ใช้ทำอะไร
   ตอบ ฟังก์ชัน vloookup ใช้ค้นหาข้อมูลในขอบเขตทีกำหนด

10.การป้อนข้อมูลวันที่มีวิธีการปรับรูปแบบเซลล์ให้เป็นแบบวันที่ได้อย่างไร
     ตอบ 1. คลิกเซลล์ที่ต้องการให้แสดงผลลัพธ์
             2. ใส่เครื่องหมายเท่ากับ
             3. คลิกเลือกฟังก์ชันที่ต้องการ
             4. เลือก More Functions
             5. เลือก Functions
             6. คลิก OK
             7. เลือกฟังก์ชัน
             8. คลิก OK
             9. ถ้าปรากฎที่เลือก ต้องมีข้อมูลให้เลือกข้อมูลก่อน แล้วจึงคลิก OK
            10. ที่ D2 จะได้วันและเวลาปัจจุบัน



บทที่ 9 การใช้โปรแกรมนำเสนอ

ตอนที่ 1

1.โปรแกรม PowerPoint  สร้างสื่อนำเสนอข้อมูลชนิดใด
    ตอบ  1.ข้อความ
             2.ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว ภาพยนต์
             3.เสียง
             4.ตาราง
             5.กราฟ
             6.ผังองค์กร

2.โปรแกรม PowerPoint นำเสนอสื่อได้หลายแบบ อะไรบ้าง
    ตอบ  1.นำเสนอจอภาพ
             2.พิมพ์เป็นแผ่นใส
             3.สร้างเอกสารเว็บ
             
3.การเรียกใช้เครื่องมืปรับแต่งรูปภาพมีขั้นตอนอย่างไร
   ตอบ เลือกคำสั่งเมนู View >Toobar > Picture

4.การนำภาพมาแทรกในสไลด์นำมาจากแหล่งใดได้บ้าง
   ตอบ  1.ภาพจาก Clip Art เลือกที่เมนูคำสั่ง Insert > Picture > Clip Art
            2.ภาพจากแฟ้มอื่น เลือกที่เมนูคำสั่ง  Insert > Picture > From File
            3.ภาพจาก Clip board ใช้คำสั่ง Edit > Paste

5.การแทรกข้อความศิลป์มีวิธีปฏิบัตอย่างไร
   ตอบ คลิกปุ่ม A Wordart Gallery

6.การเพิ่มข้อความในสไลด์โดยใช้กล่องข้อความมีวะธีปฏิบัติอย่างไร
   ตอบ คลิกเลือกที่กล่องข้อความ แล้วนำไปจากที่ตั้งสไลด์ แล้วพิมพ์ข้อควาได้เลย

7.การแทรกรูปร่างอัตโนมัติ AutoShapes มีวิธีปฏิบัติอย่างไร
   ตอบ วิธีการแทรกรูปร่างอัตโนมัติ โดยคลิกปุ่ม AutoShapes > เลือกรูปแบบที่ต้องการ > กำหนดสีพื้นของข้อความ > กำหนดเงาของขอบข้อความ > กำหนดสีขอบตัวหนังสือ > กำหนดความหนาของเส้นขอบตัวหนังสือ > กำหนดลักษณะขอบตัวหนังสือ > ทำเป็นตัวหนังสือสามมิติ

8.การออกแบบสไลด์ปฏิบัติอย่างไร
   ตอบ  1.หนึ่งความคิดต่อหนึ่งสไลด์
            2.อ่านเข้าใจง่าย น่าสนใจ ติดตาม
            3.ง่ายต่อการจดจำ
            4.ไม่ใช้สีพื้นฉูดฉาด
            5.ตัวหนังสือใหม่ต้องใหญ่พอที่คนด้านหลังสามารถมองเห็นได้
            6.เนื้อหาไม่เกินแปดบรรทัด
            7.ใส่รูปภาพพอสมควร

9.การเลือกใช้ฟอนต์ในการทำสื่อ PowerPoint ควรเลือกอย่างไร
   ตอบ  - เลือกใช้ภาษาไทยและภาษาอังกฤษเนื่องจากมีขนาดอักษรที่มองเห็นได้ชัดเจน
            - Verdana สำหรับการทำ Title ภาษาอังกฤษ  Aria สำหรับการแสดงเนื้อหาภาษาอังกฤษ
            - กรณีทำสไลด์สำหรับเด็กๆ ฟอนต์ Comic Ms เป็นฟอนต์ที่น่าสนใน

10.การลดขนาดแฟ้ม PowerPoint มีวิธีการอย่างไร
     ตอบ คลิกเลือกภาพ > เลือกคำสั่ง  Formrt > Picture หรือ คลิกขวาที่ภาพแล้วเลือกคำสั่ง Format Picture > คลิกปุ่ม Compress


วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2556

แบบฝึกหัด
บทที่ 6

ตอนที่ 1 อธิบาย (หมายถึง การให้รายละเอียดเพิ่มเติม ขยายความ ถ้ามีตัวอย่างให้ยกตัวอย่างประกอบ) ตอบแบบสั้น

1.อินเตอร์เน็ตใหรโตคอลใดเป็นมาตรฐานเดียวกันเพื่อเชื่มอเครือข่ายเข้วด้วยกัน
   ตอบ TCP/IP เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์และเครือข่ายของเครือข่ายสำหรับผู้ใช้ทุกระดับ

2.อินเตอร์เน็ตเป็นเครื่อข่ายของเครื่อข่ายเดิมมีชื่ว่าอะไร
   ตอบ อาร์พาเน็ต

3.อินเตอร์เน็ตในประเทศไทยออนไลน์โดยสมบูรณ์เมื่อใด มีชื่อเรียกว่าอะไร
   ตอบ ในปี พ.ศ.2535 เรียกว่าเครือข่ายไทยสาร (ThaiSarn : Thai Social/scientific, Academic and Research Network)

4.โปรโตคอลคืออะไร
    ตอบ  เป็นข้อกำหนดที่อธิบายวิธีสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายเพื่อใช้เกณฑ์ ในการออกแบบโปแกรม การเชื่อมต่อเครือข่ายต้องการโปรโตคอลซึ่งทำงานได้กับสายสื่อสารและฮาร์ดเวร์หลากหลายแบบ

5.ระบบชื่อโดเมนคืออะไร
    ตอบ  ระบบเครือข่ายที่เชื่อมต่อกันในเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ระบบอาจจะแตกต่างกันหรือมีฮาร์ดดวร์ต่างกัน แต่สามารถรับข้อมูลระหว่าเครือข่ายได้ด้วยซอฟต์แวร์ในเครือข่าย

6.องค์กรใดในประเทศไทยทำหน้าที่ควบคุมดูแลจัดการเกี่ยวกันการตั้งชื่อโดเมนในอินเตอร์เน็ตยองปรปะเทศไทย ให้บริการจดทะเบียนชื่อโดเมนไม่ให้ซ้ำกัน
   ตอบ ไอพี แอดเดรส การเรียกชื่อตามไอทีแอดเดรสยากต่อการจดจำ

ตอนที่ 3 อธิบาย (หมายถึง การให้รายละเอียดเพิ่มเติม ขยายความ ถ้ามีตัวอย่างให้ยกตัวอย่างประกอบ) ตอบแบบสั้น

1.HTML
   ตอบ  สามารถแสดงผลได้ทั้งข้อมูลที่เป็นข้อความ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และเสียง เป็นสื่อหลายมิติจึงครอบคลุมไฮเปอร์เท็กด้วย

2.SLIP/PPP
   ตอบ  เป็นการเชื่อมต่อผ่านโมเด็มหรือสายโทรศัพท์หรือสายสื่อสารอนุกรมโดยใช้โปรโตคอล SLIP สำหรับเชื่อมผ่านสายสื่อสารอนุกรม

3.IP Address
   ตอบ  หมายเลขประจำเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้โปรโตคอล TEP/IP

4.TCP/IP
   ตอบ  โปรโตคอลบนระบบปฏิบัติการยูนิกซ์ที่ใช้ในเครือข่ายอินเตอร์เน็ต

5.Encryption
   ตอบ  การเข้ารหัส การป้อนข้อมูลเป็นรหัสสลับที่ไม่สามารถอ่านได้ผู้ที่ทราบรหัสเท่านั้นจึงจะสามารถถอดรหัสเพื่อเข้าถึงข้อมูลได้

6.PGP
   ตอบ เป็ฯโปรแกรมเข้ารหัส ชนิดรหัสสาธารณะ เพื่อใช้ในการแลกเปลี่ยนไฟล์ข้อมูลข่าวสารระหว่างผู้ใช้ด้วยกันในระบบเครือข่ายเปฌนโปรแกรมประเภทฟรีแวร์

7.Teleconferencing System
    ตอบ  เป็นระบบการทำงานที่พนักงานไม่จำเป็นต้องทำงานร่วมกัน หน่วยงานหรือสำนักงานไม่มีสถานที่อำนวยความสะดวกแก่การทำงาน

8.Virtual University
   ตอบ  ระบบมหาวิทยาลัยเสมือน ออกแบบมาเพื่อใช้ในการศึกษาทางไกลผู้เรียนสามารถลงทะเบียนเรียนและเรียนจากมหาวิทยาลัยผ่านอินเตอร์เน็ต

9.Web Page
    ตอบ  หน้าที่ของเว็บซ์ ประกอบไปด้วยข้อมูล รูปภาพ เสียง และวีดีโอ

10.Home Page
     ตอบ  หน้าแรกของเว็บไซต์

วันพุธที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2556

แบบฝึกหัด
บทที่ 5



ตอนที่ 1
1. อธิบายความหมายของ "ระบบการสื่อสารข้อมูล
    ตอบ  การถ่ายโอนหรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน หรือการเคลื่อนย้ายข้อมูลระหว่างต้นทางและปลายทาง โดยผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือคอมพิวเตอร์ และอาศัยสื่อกลางในการนำข้มูลระหว่างกัน


2.องค์ประกอบพื้นฐานของระบบสื่อสารมีอะไรบ้าง  
   ตอบ 1.ผู้ส่งหรืออูปกรณ์ส่งข้อมูล
             2.ผู้รับหรืออุปกรณ์รับข้อมูล
             3.ข้อมูล
             4.ช่องทางการสื่อสาร
             5.โปรโตคอล

3.สัญญาณอนาล๊อกต่างจากสัญญาณดิจิตอลอย่างไร
   ตอบ  สัญญาณแบบอนาล็อก เป็นการส่งสัญญาณข้อมูลแบบต่อเนื่องกัน เช่น การส่งสัญญาณเสียงผ่านเครื่อข่ายโทรศัพท์


4.รูปแบบการส่งสัญญาณข้อมูลแบบ Full-Duplex เป็นอย่างไร  
    ตอบ  เป็นการส่งสัญญาณข้อมูลได้พร้อมกันทั้งสองทาง สามรถโต้ตอบกันได้ทันที


5.สื่อกลางในการสือสารชนิดสื่อที่สามารถกำหนดเส้นทางได้เป็นอย่างไร ยกตัวอย่าง
   ตอบ  สายคู่บิดเกลียว สายโทรศัพท์ สายโคแอกเชี่ยล และเคเบิลใยแก้วนำแสง


6.สายโคแอกเชียลมีคุณสมบัติอย่างไร ยกตัวอย่างการนำสายชนิดนี้มาใช้งานด้านใดได้บ้าง
   ตอบ  สายโอแคกซ์ เป็นสายสื่อสารขนดกลางที่มีฉนวนหุ้มดีกว่า ส่งข้อมูลได้ด้วยความเร็วที่สูงกว่าและส่งได้ไกลกว่า เช่น เคเบิลทีวี ระบบเครือข่าย Lan  และระบบโทรศัพท์


7.เพราะเหตุใดจึงนำเอาสายเคเบิลใยแก้วนำแสงเป็นแกนหลักของ (Backbone) เครือข่าย       
    ตอบ เป็นการลงทุนที่สูงมากที่สุด แต่แต่ก็เป็นระบบการส่งสัญญาณที่ดีที่สุดเช่นกัน จึงถูกนำมาเป็นแกนหลัก


8.หากไม่ต้องการใช้สายเคเบิลใยแก้วนำแสงเป็นแกนหลักของเครือข่าย จะใช้สื่อชนิใดแทนได้ เพราะเหตุใด  
   ตอบ สัญญาณแสงเลเซอร์ เป็นระบบการสื่อสารแบบทางเดี่ยวผู้รับและผู้ส่งสัญญาณข้อมูลจึงต้องมีอุปกรณ์ทั้งในการรับและส่งข้อมูลด้วยเป็นเครือข่ายไร้สาย


9.อธิบายความหมายของ "ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์"  
   ตอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งแต่สองเครื่องขึ้นไปที่เป็นอิสระต่อกันเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารซึ่งกันและกัน


10.ประโชน์ของระบบเครือข่ายมีอย่างไรบ้าง    
      ตอบ  1.การใช้ทรัพยากร่วมกัน
              2.การติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูล
              3.เพิ่มความเชื่อถือ
              4.สามารถประสานผลแบบกระจายได้
              5.ประหยัดงบประมาณ
              6.สามารถควบคุมและจัดสรรทรัพยากร


ตอนที่ 3

1.UTP.
 ตอบ  ป็นสายคู่บิดเกลียวไม่มีฉนวนหุ้มอีกชั้น มักจะใช้การเดินสายโทรศัพท์และแบบบเครื่อข่ายใกล้
  
2.Unguided Media
    ตอบ   สิ่งที่ไม่สามารถกำหนดเดินทางได้ ได้เคลื่อนที่ส่งผ่านทางอวกาศ

3.Downlink
   ตอบ  สัญญาณดาวน์ลิงค์ เป็นสัญญาณป้องกันการกวนฉนวนเข้ามา

4.Trasponder
    ตอบ  ขยายสัญญาณที่มารับซึ่งมีกำลังอ่อนมาก ทำการทบทวนสัญญาณและตรวจสอบตำแหน่งขอสถานีปลายทาง

5.Distributed System
   ตอบ ผู้ใช้สามารถประมวลผลได้เองไม่ต้องมาศูนย์คอมพิวเตอร์ เพราะเป็นการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ ขนาดเล็กๆ หลายเครื่อง

6.WAN
    ตอบ  ระบบเครื่อข่ายที่ขยายเขตการเชื่อมต่อครอบคลุมพื้นที่ระดับภูมิภาค ระยะประมาณ 10-1,000 กิโลเมตร

7.Wireless Communication
    ตอบ  การ สื่อสารไร้สาย แบบดิจิตอล เป็นเทคโนโลยีที่เอให้สามารถทำงานได้ ทุกสถานที่และทุกเวลา

8.PDA
    ตอบ   เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์มือถือ ได้รับความนิยมสูงขั้น เนื่องจากมีความจำเป็นในการติดต่อสื่อสาร ระหว่างนำเครื่องติดตัวไปยังสถานที่ต่างๆ

9.Broadcast  Network
    ตอบ ปร ะกอบด้วย ช่องสื่อสารเพียงหนึ่งช่องซึงเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในเครื่อข่ายจะใช้งานร่วมกัน

10.Application Layer
     ตอบ ระดับชั้นแอปพลิเคชั่น เป็นระดับที่ผู้ใช้ติดต่อกับระบบเครื่อข่ายโปรแกรมประยุกต์ เพื่อให้การบริการส่งข้มูลแกผู้ใช้มีมาตรฐานเดียว

วันพฤหัสบดีที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2556


ใครเป็นเจ้าของดาวเทียมไทยคมคนปัจจุบัน

ผู้เช่าสัมปทานและคลื่นความถี่
           บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) ในเครืองของ บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

ผู้เป็นเจ้าของทรัพย์สินและคลื่นความถี่
           กระทรวงคมนาคม  (พ.ศ. 2534- พ.ศ. 2545)
           กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (พ.ศ. 2545-ปัจจุบัน)

วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2555

แบบฝึกหัด
หน่วยที่ 3

1.  ข้อมูลปฐมภูมิและข้อมูลทุติยภูมิต่างกันอย่างไร
      ตอบ  ข้อมูลปฐมภูมิ คือ ข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลโดยตรง
                ข้อมูลทุติยภูมิ คือข้อมูลที่มีผู้เก็บรวบรวมไว้แล้วสามารถนำมาใช้งานได้ทันที

2.  อธิบายความหมายของ "เขตข้อมูล (Field)"
     ตอบ  ชุดของอัขระที่สัมพันธ์กัน เช่น ในการจัดทำป้ายจ่าหน้าซองจดหมายถึงสมาชิกของศูนย์สุขภาพ ข้อมูลของแต่ละบุคคล

3.  วิธีจัดการแฟ้มข้อมูลแบบใดเข้าถึงข้อมูลได้เร็วที่สุด เพราะเหตุใดและมีประโยชน์อย่างไร ยกตัวอย่าง
     ตอบ  วิธีการประมวลผลแฟ้มข้อมูลแบบเรียงลำดับเพราะมีประสิทธิภาพเหมาะสมสำหรับจำนวนที่มีปริมาณมากและประมวลผลเป็นครั้งคราว

4.  System Analyst
     ตอบ  นักวิทยาศาสตร์ระบบมีหน้าที่วิเคราะห์ ออกแบบ และทำระบบ สารสนเทศบนคอมพิวเตอร์เป็นเป็นพื้นฐานมาใช้งาน
 
5.  MIS
     ตอบ  การจัดการด้านระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ ผู้บริหาร  MIS มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ MIS  ทั้งหมด

6.  DSS
     ตอบ  ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ

7.  EIS
     ตอบ  ระบบสารสนเทศเพื่อผู้บริหารระดับสูง

8.  ES
     ตอบ  ระบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert Systems)

9.  Knowledge Bade
     ตอบ  ศูนย์ระบบของผู้เชี่ยวชาญ หรือสัญญาณลักษณะบนจอภาพ แสดงถึงความพร้อมที่จะรับข้อมูลของผู้ใช้

10.  User Interface
       ตอบ  เครื่องหมายหรือสัญญาณลักษณะบนจอภาพ แสดงถึงความพร้อมที่จะรับข้อมูลของผู้ใช้

11.  Inference Engine
       ตอบ  ระบบโปรแกรมที่ใช้ในการสร้างของผู้เชี่ยวชาญ เครื่องอนุมัติจะประยุกต์ใช้ข้อเท็จจริง

12.  Data Structured
       ตอบ  โครงสร้างข้อมูล

13.  Semi Structured
       ตอบ  ข้อมูลความรู้เป็นทักษะแบบกึ่งโครงสร้าง
 
 
 
แบบฝึกหัด
หน่วยที่ 4
 
 
ตอนที่ 1
 
1.  อธิบายความหมาย  "ของการวิเคราะห์ระบบ"
     ตอบ  กระบวนการเกี่ยวกับการศึกษาระบบที่มีอยู่แล้วเพื่อกำหนดวิธีการทำงานและวิธีการที่ผู้ใช้ต้องการ การวิเคราะห์ระบบเป็นการวางแผนงาน การทำงานเพื่อปรับปรุงระบบให้ดีขึ้น กาวิเคราะห์รวมไปถึงการสำรวจ
 
2.  วงจรพัฒนาระบบมีกี่ขั้นตอนอะไรบ้าง
     ตอบ  วงจรพัฒนาระบบมี 5 ขั้นตอน
               1.  ขั้นเตรียมการ สำรวจ กำหนดปัญหา
               2.  การวิเคราะห์ ทำความเข้าใจกับระบบเดิม
               3.  การออกแบบ การวางแผนออกแบบระบบใหม่
               4.  การพัฒนา การทำงานเพื่อให้ได้ระบบงานใหม่ตามที่ออกแบบ
               5.  การนำไปใช้ การเปลี่ยนไปใช้ระบบใหม่
 
3.  แผนภาพกระแสข้อมูลมีประโยชน์อย่างไร
     ตอบ   การอธิบายกระบวนการทำงานและการไหลของข้อมูล ช่วยในการสื่อสารระหว่างนักวิเคราะห์ระบบกับผู้ใช้ระบบ
 
 
 
ตอนที่ 3
 จุดที่มีการปฏิบัติงานอย่างใดอย่างหนึ่ง
 
 
 
 จุดที่จะนำข้อมูลเข้าจากภายนอก หรือออกสู่ภายนอก โดยไม่ระบุชนิดของอุปกรณ์
 
 
 
 จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดการทำงาน
 
 
 
แสดงผลทางจอภาพ
 
 
 
แสดงผลทางเครื่องพิมพ์
 
 


จุดที่จะต้องเลือกปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง



 
  โปรแกรมย่อย หรือโมดูล เริ่มทำงานหลังจากจบคำสั่งในโปรแกรมย่อยแล้ว จะกลับมาทำคำสั่งต่อไป
 
 

 การเตรียมทำงานลำดับต่อไป
 



จุดเชื่อมต่อของผังงานใช้สัญลักษณ์นี้เพื่อให้ดูง่าย


 

จุดเชื่อมต่อของผังงานที่อยู่คนละหน้ากระดาษ

 
 
 
 
 
 

วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2555

แบบฝึกหัดท้ายบท
หน่วยที่ 2


1.  ระบบคอมพิวเตอร์ประกอบด้วยส่วนที่สำคัญกี่ส่วน อะไรบ้าง
      ตอบ 3 ส่วน
               1  ฮาร์ดแวร์
               2  ซอฟต์แวร์
               3  บุคลากร

2.  หน่วยรับโปกแกรมและข้อมูลแบ่งออกเป็น 3 ประเภท อะไรบ้าง
     ตอบ  3  ประเภท
               1  อุปกรณ์แบบธรรมดา
               2  อุปกรณ์แบบพิเศษ
               3  อุปกรณ์รับข้อมูลโดยตรง

3.  หน่วยความจำขนาด 4 GB มีความจะกี่ไหบต์
     ตอบ  4, 294, 967, 296 bytos

4.  RAM คืออะไร
     ตอบ  หน่วยความจำชั่วคราวจัดเก็บโปรแกรมและข้อมูลในระหว่างทำการประมวลผลใจขณะที่เครื่องทำงานอยู่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลหรือคำสั่งได้ตลอดเวลา

5.  ROM   ต่างจาก RAM อย่างไร มีกี่ชนิด ชนิดใดนำไปใช้กับระบบ POS
     ตอบ  หน่วยความจำชนิดอ่านได้อย่างเดียวเท่านั้นจะเกิดคำสั่งถาวรเมื่อปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ชนิดของ ROM มี 3 ชนิด EEPROM เป็นเทคโนโลยีที่รวมเอาข้อดีของรอมและแรมเข้าด้วยกันใช้มากในระบบ POS

6.  ซอฟต์แวร์คืออะไร แบ่งออกเป็นกี่ประเภท อะไรบ้าง จงอธิบาย
      ตอบ  โปรแกรมหรือชุดคำสั่งในการควบคุมหรือสั่งให้ซอฟต์แวร์ปฏิบัติงานได้ 2 ประเภท
                1  ซอฟต์แวร์ระบบ คือ ซอฟต์แวร์ที่บริษัทผลิตสร้างขึ้นมาเพื่อใช้จัดการกันระบบ                มีหน้าที่ดำเนินการพื้นฐานต่างๆของระบบคอมพิวเตอร์
                2  ซอฟต์แวร์ประยุกต์  คือ ใช้กับงานด้านต่างๆ ตามความต้องการของผู้ใช้ ที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้โดยตรง

7.  โปรแกรมประเภทฟรีแวร์ (Freeware) แชร์แวร์ (Shareware)  เฟิร์มแวร์ (Firmware) เป็นอย่างไรจงอธิบาย
      ตอบ  โปรแกรมทางด้านอินเตอร์เน็ต เช่น การสร้างเว็บไซต์ การ Frontpage, Macromedia ,Dreamwearer






จอภาพแบบซีอาร์ที (Cathode Ray Tube: CRT Monitor)
                จอภาพซีอาร์ที  เป็นจอภาพที่รับสัญญาณภาพแบบแอนะล็อก การทำงานจะใช้หลอดแก้วแสดงผลขนาดใหญ่ที่เรียกว่า หลอดรังสีคาโธด (Cathode ray tube) สร้างภาพด้วยการฉายแสงอิเลคตรอนไปยังด้านหลังของจอภาพ  ซึ่งมีสารฟอสฟอรัสเคลือบอยู่  โดยสารนี้จะส่องสว่างเมื่อถูกแสงอิเลคตรอนตกกระทบ จึงทำให้เกิดภาพ แต่งเนื่องจากสารฟอสฟอรัสไม่สามารถส่องสว่างได้เป็นเวลานาน  จึงจำเป็นต้องมีการฉายแสงใหม่ทุกระยะ ซึ่งเรียกว่าการรีเฟรซ  โดยอัตราการรีเฟรซนั้นหมายถึง ความเร็วในการยิงอิเลคตรอนที่ทำให้เกิดจุดเรีองแสงขึ้นบนจอภาพ  จุดดังกล่าวจะหายไปในเวลาไม่นาน  จึงจำเป็นต้องมีการยิงแสงอิเลคตรอนซ้ำที่จุดเดิมตลอดเวลา  ถ้าอัตราการยิงแสงเชื่องช้า ภาพก็จะกระตุก ส่งผลต่อสายตา  จำเป็นต้องปรับอัตราการรีเฟรซ ให้เหมาะสม ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกับหลอดภาพโทรทัศน์  และตัวจอภาพก็มีลักษณะเหมือนจอภาพโทรทัศน์  จำเป็นต้องใช้พลังงานไฟฟ้าสูงซึ่งมีผลให้เกิดความร้อนเมื่อใช้งานนาน ๆ แต่ข้อดีก็คือ ราคาถูก ไม่มีปัญหาจากการมองบางมุม
             ในยุคแรกตั้งแต่ พ.ศ. 2524 บริษัทไอบีเอ็มได้พัฒนาระบบการแสดงผลที่ใช้กับจอภาพสีเดียวที่เรียกว่าโมโนโครม หรือ เอ็มดีเอ  (Monochrome Display Adapter : MDA) และแสดงผลได้เฉพาะภาวะตัวอักษรแต่เพียงอย่างเดียวแต่ให้ความละเอียดสูง หากต้องการแสดงผลในภาวะกราฟิกก็ต้องเลือกภาวะการแสดงผลอีกแบบหนึ่งที่เรียกว่า ซีจีเอ (Color Graphic Adapter : CGA) ที่สามารถแสดงสีและกราฟิกได้แต่ความละเอียดน้อย
           การเลือกซื้อจอภาพจะตัองพิจารณาความสัมพันธ์ของจอภาพกับตัวปรับต่อซึ่งเป็นแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ติดตั้งอยู่บนแผงวงจรหลัก  (main board) และต่อสัญญาณมายังจอภาพ แผงวงจรนี้จะเป็นตัวแสดงผลตามมาตรฐานที่ต้องการ มีภาวะการแสดงผลหลายแบบ เช่น
           1.  แผงวงจรโมโนโครมหรือแผงวงจรเอ็มดีเอ เป็นแผงวงจรที่ไม่ค่อยนิยมใช้แล้วแสดงผลได้เฉพาะตัวอักษรจำนวน 25 บรรทัด บรรทัดละ  80 ตัวอักษร ขนาดความละเอียดของตัวอักษรเป็น 9x14 ชุด
           2.  แผงวงจรเฮอร์คิวลิสหรือแผงวงจรเอชจีเอ แสดงผลเป็นตัวอักษรขนาด 25 บรรทัด บรรทัดละ 80 ตัวอักษร เหมือนแผงวงจรเอ็มดีเอ แต่สามารถแสดงกราฟิกแบบสีเดียวด้วยความละเอียด 720x348 จุด
           3. แผงวงจรอีจีเอ เป็นแผงวงจรที่แสดงด้วยความละเอียดของตัวอักษรขนาด 9x14 จุดแสดงสีได้ 16 สี ความละเอียดของการแสดงกราฟิก  640x350 จุด
           4. แผงวงจรวีจีเอ  เป็นแผงวงจรที่แสดงด้วย ความละเอียดของตัวอักษร 9x16 จุด แสดงสีได้ 16 สี แสดงกราฟิกด้วยความละเอียด 640x480 จุด และแสดงสีได้สูงถึง 256 สี
           5. แผงวงจรเอ็กซ์วีจีเอ  เป็นแผงวงจรที่ปรับปรุงจากแผงวงจรวีจีเอ แสดงกราฟิกด้วยความละเอียดสูงขึ้นเป็น 1,024x768 จุด และแสดงสีได้มากกว่า 256 สี เมื่อได้ทราบว่าตัวปรับต่อมีกี่แบบแล้ว ก็ดูมาตรฐานตัวเชื่อมต่อ (connector) ของตัวปรับต่อกับจอภาพ  ตัวเชื่อมต่อมาตรฐานที่ใช้มีแบบ 9 ขา ตัวเชื่อมต่อสำหรับแผงวงจรแบบ วีจีเอ และ เอสวีจีเอ เป็นแบบ 15 ขา การที่หัวต่อไม่เหมือนกันจึงทำให้ใช้จอภาพร่วมกันไม่ได้ นอกจากตัวเชื่อมต่อและตัวปรับต่อแล้ว คุณภาพของจอภาพก็จะต้องได้รับการพิจารณาอย่างมาก สัญญาณที่ส่งมายังจอภาพมีรูปแบบ ไม่เหมือนกัน สัญญาณของแผงวงจรแบบวีจีเอเป็นแบบแอนะล็อก สัญญาณของแผงวงจรแบบเอ็มดีเอ ซีจีเอ เอชจีเอ อีจีเอ เป็นแบบดิจิทัล

           ข้อพิจารณาที่ตรวจสอบด้วยตาเปล่าได้ คือ การแสดงผลจะต้องเป็นจุดเล็กละเอียดคมชัด ไม่เป็นภาพพร่าหรือเสมือนปรับโฟกัสไม่ชัดเจน  ภาพที่ได้จะต้องมีลักษณะของการกราดตามแนวตั้งคงที่ สังเกตได้จากขนาดตัวหนังสือแถวบน กับแถวกลางหรือแถวล่างต้องมีขนาดเท่ากันและคมชัด เหมือนกัน ภาพที่ปรากฏจะต้องไม่กระพริบถึงแม้จะปรับความเข้มของแสงเต็มภาพไม่สั่งไหวหรือพลิ้ว การแสดงของสีต้องไม่เพี้ยนจากสีที่ควร จะเป็น พิจารณารายละเอียดทางเทคนิคของจอภาพ เช่น ขนาดของจอภาพซึ่งจะวัดตามแนวเส้นทแยงมุมของจอ ว่าเป็นขนาดกี่นิ้ว โดยทั่วไปจะมีขนาด 14 นิ้ว จอภาพที่แสดงผลงานกราฟิกบางแบบอาจต้องใช้ขนาดใหญ่ถึง 20 นิ้ว ความละเอียดของจุดซึ่งสามารถสังเกตได้จากสัญญาณแถบ ความถี่ของจอภาพ จอภาพแบบวีจีเอควรมีสัญญาณแถบความถี่สูงกว่า 25 เมกะเฮิรตซ์ สัญญาณแถบความถี่ยิ่งสูงยิ่งดี จอภาพแบบเอ็กซ์วีจีเอแสดงผลแบบมัลติซิงค์ (multisync) ใช้สัญญาณแถบความถี่สูงกว่า 60 เมกะเฮิรตซ์ ขนาดของจุดยิ่งเล็กยิ่งมีความคมชัด เช่น ขนาดจุด .28 มิลลิเมตร  ภาพที่ได้จะคมชัดกว่าขนาดจุด .33 มิลลิเมตร   

จอภาพแบบแอลซีดี  (Liquid  Crystal  Display : LCD  Monitor)
ใช้หลักการปรับเปลี่ยนโมเลกุลของผลึกเหลว เพื่อปิดกั้นแสงเมื่อมีสนามไฟฟ้าเหนี่ยวนำแอลซีดีจึงใช้กำลังไฟฟ้าต่ำ เหมาะกับภาคแสดงผลที่ใช้กับแบตเตอรี่หรือถ่านไฟฉายก้อนเล็ก ๆ แอลซีดีในยุคแรกตอบสนองต่อสัญญาณไฟฟ้าช้า จึงเหมาะ กับงานแสดงผลตัวเลขยังไม่เหมาะที่จะนำมาทำเป็นจอภาพ
                เมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้าขึ้น  จอภาพแอลซีดีที่แสดงผลเป็นสีต้องใช้เทคโนโลยีสูง มีการสร้างทรานซิสเตอร์  เป็นล้านตัวเพื่อให้ควบคุมจุดสีบนแผ่นฟิล์มบาง ๆ ให้จุดสีเป็นตารางสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ การแสดงผลจึงเป็นการแสดงจุดสีเล็ก ๆ ที่ผสมกันเป็นสีต่าง  ๆ ได้มากมาย การวางตัวของจุดสีดำเล็ก ๆ เรียกว่าแมทริกซ์ (matrix) จอภาพแอลซีดีจึงเป็นจอแสดงผลแบบตารางสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ที่มีจุดสีจำนวนมาก
               จอภาพแอลซีดีเริ่มพัฒนามาจากเทคโนโลยีแบบพาสซีฟแมทริกซ์ที่ใช้เพียงแรงดันไฟฟ้าควบคุมการปิดเปิดแสงให้สะท้อนจุดสีมาเป็นแบบแอกตีฟแมทริกซ์ที่ใช้ทรานซิสเตอร์ตัวเล็ก ๆ เท่าจำนวนจุดสี ควบคุมการปิดเปิดจุดสีเพื่อให้แสงสะท้อนออกมาตามจุดที่ต้องการ ข้อเด่นของ แอกตีฟแมทริกซ์คือมีมุมมองที่กว้างกว่าเดิมมาก การมองด้านข้างก็ยังเห็นภาพอย่างชัดเจน จอภาพแอลซีดีแบบแอกตีฟแมทริกซ์มีแนวโน้มที่เข้า มาแข่งขันกับจอภาพแบบซีอาร์ทีได้ จอภาพแบบแอลซีดีซึ่งมีลักษณะแบนราบจะมีขนาดเล็กและบาง เมื่อเปรียบเทียบกับจอภาพแบบซีแอลที
จอภาพแบบแอกตีฟแมทริกซ์สามารถพัฒนาให้มีขนาดใหญ่กว่า 15 นิ้วได้ การนำมาใช้แทนจอภาพซีอาร์ที ก็จะมีหนทางมากขึ้น ความสำเร็จของจอภาพแอลซีดีที่จะเข้ามาแข่งขันกับจอภาพแบบซีอาร์ที่อยู่ในเงื่อนไขสองประการ คือ จอภาพแอลดีซีมีราคาแพงกว่าจอภาพซีอาร์ที และมีขนาดจำกัด ในอนาคต แนวโน้มด้านราคาของจอภาพแอลซีดีจะลดลงได้อีกมาก และเทคโนโลยีสำหรับอนาคตมีโอกาสเป็นไปได้สูงมากที่จะทำให้จอภาพแอลซีดีขนาดใหญ่
จอภาพแบบ  LED
การเปลี่ยนมาใช้ไปแบ็กไลต์เป็นหลอดแอลอีดี  มีผลดีตามมาหลายด้าน โดยเฉพาะเรื่องของภาพที่มันช่วยเพิ่ม  Contrast  ให้กับภาพที่แสดงผลออกมา  จึงแสดงรายละเอียดต่างๆ  ของภาพได้ดีขึ้น  โดยเฉพาะในฉากที่แสดงผลออกมา  จึงแสดงรายละเอียดต่างๆของภาพให้ดีขึ้น  โดยเฉพาะในฉากที่มีภาพมืดหรือฉากที่มีระดับความสว่างของวัตถุอยู่หลายระดับ  แสดงผลสีดำได้ลึกและดูมีมิติมากขึ้น  ลบข้อด้อยในการแสดงผลสีดำที่ติดตัวจอภาพแอลซีดีมาช้านานนั้นลงไปใกล้เคียงภาพจากจอพลาสมาที่แสดงผลสีดำได้อย่างยอดเยี่ยมเข้าไปทุกที  ช่วยให้แอลซีดีพาแนลสามารถแสดงสีสันได้ดีขึ้น (wider clolor gamut) ทำให้ภาพดูเป็นธรรมาชาติ  นอกจากข้อดีในเรื่องของภาพที่ดีขึ้นแล้วยังได้ในเรื่องของดีไซน์ด้วยเพราะจอภาพมีขนาดบางลง  ความร้อนในขณะจอทำงานลดลงและประหยัดพลังงานมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย  ด้วยข้อดีหลายอย่างที่เกิดขึ้นก็เลยทำให้จอแอลอีดีดูน่าซื้อมาใช้เป็นที่สุด

จอภาพแบบ OLED
       ทำความรู้จักกับ OLED
OLED หรือ Organic Light-Emitting Diodes คือ อุปกรณ์ที่ทำด้วยฟิล์มของวัสดุอินทรีย์กึ่งตัวนำ ที่สามารถเปล่งแสงได้เองเมื่อได้รับพลังงานไฟฟ้า เรียกว่ากระบวนการ Electroluminescence (อิเล็กโทรลูมิเนสเซนซ์) เมื่อนำมาใช้เป็นจอภาพจึงไม่จำเป็นต้องมี Backlight ฉายแสงด้านหลังไปทั่วทั้งจอภาพ อย่างที่ทำกันในจอ LCD หรือ Plasma ซึ่งยังทำให้จุดสีดำใดๆในภาพ ก็จะได้สีที่ดำสนิทมืดมิดจริงๆ เพราะไม่มีแสงสว่างออกมาเลยนั่นเอง ด้วยคุณสมบัติเด่นนี้เองจึงทำให้จอแบบ OLED สามารถประหยัดพลังงานไฟฟ้า และให้ความบางที่มากกว่าจอ LCD ได้.
โครงสร้างและหลักการทำงาน
1. กระแสไฟฟ้าจะไหลจาก Cathode ผ่านชั้นสารอินทรีย์ไปยัง Anode โดย Cathode จะให้กระแสelectrons แก่ชั้น Emissive layer ขณะเดียวกัน2. Anode จะดึง electrons ในชั้น Conductive layer ให้เคลื่อนที่เข้ามา เกิดเป็น electron holes ขึ้น3. ระหว่างชั้น Emissive และ Conductive layer จะเกิดปฏิกิริยา electron (-) เข้าจับคู่กับ hole (+) ขึ้น ซึ่งกระบวนนี้เอง ที่จะเกิดการคายพลังงานส่วนเกินออกมา นั่นก็คือแสงสว่างที่เราต้องการ
สำหรับการให้สีแก่แสงนั้น จะขึ้นอยู่กับชนิดของโมเลกุลสารอินทรีย์ในชั้น
Emissive layer ซึ่งในการผลิตจอ Full-color OLEDs จะใช้สารอินทรีย์ 3 ชนิด เพื่อให้ได้แม่สีของแสงคือน้ำเงิน, แดง และเขียว
ส่วนความเข้มและความสว่างของแสงที่ได้ จะขึ้นอยู่กับกระแสไฟฟ้าที่ให้เข้าไป ให้มากแสงก็จะสว่างมาก ซึ่งโดยปกติจะใช้กระแสไฟฟ้าที่ประมาณ 3-10 โวลต์
และด้วยความที่ทำจากฟิล์มสารอินทรีย์ที่บางระดับนาโนเมตรนี้เอง เราจึงสามารถประกอบอุปกรณ์
OLED บนวัสดุที่พับงอได้ เช่น พลาสติกใส เกิดเป็นจอภาพแบบยืดหยุ่น (Flexible Display) ได้ขึ้นมา ซึ่งทำให้ในอนาคตเราอาจได้เห็นจอภาพแบบนี้ อยู่บนเสื้อผ้าของเราก็เป็นได้
จุดเด่นของ OLED
- สามารถเปล่งแสงได้ด้วยตัวเอง ทำให้ใช้พลังงานน้อยกว่าจอแบบอื่นๆ
- จอมีความบางกว่า เบากว่า และมีความยืดหยุ่นสูงจนสามารถโค้งงอได้
- ให้ความสว่างมากกว่า เนื่องจากจอทำจากพลาสติกที่มีความบางมาก การผ่านของแสงจึง ดีกว่า
- ง่ายต่อการขยายขนาด เพราะทำจากพลาสติก จึงสามารถสร้างให้มีขนาดใหญ่ได้ และปลอดภัย
จุดด้อยของ
OLED
- อายุการใช้งานของฟิล์มที่ให้กำเนิดสีน้ำเงิน ยังมีอายุการใช้งานสั้นเพียง 1
,000 ชั่วโมง (แต่สำหรับสีแดง และเขียว มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ประมาณ 10,000 ถึง 40,000 ชั่วโมง
- ปัจจุบันขั้นตอนการผลิตยังคงมีราคาสูง เนื่องจากยังไม่สามารถผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เชิงปริมาณได้
- สารอินทรีย์ที่ใช้ทำ
OLED จะเสียหายได้ง่ายเมื่อโดนน้ำหรือออกซิเจน
การใช้งาน OLED ในปัจจุบันและอนาคต
จะเห็นว่า เครื่องเล่นเพลงดิจิตอล
mp3 ในปัจจุบัน เริ่มมีการใช้ OLED เป็นจอภาพกันบ้างแล้ว นอกจากนี้ยังนำมาใช้เป็นจอขนาดเล็กให้กับ โทรศัพท์, PDA, กล้องดิจิตอล ซึ่งมีหลายบริษัทได้ผลิตออกมาจำหน่ายแล้ว เช่น Sony, Kodak. สำหรับจอภาพขนาดใหญ่อย่างโทรทัศน์ หรือจอคอมพิวเตอร์ ก็มีเช่น Sony, Samsung ซึ่งคาดว่าจะเริ่มทำตลาดกันจริงจังในอนาคตอันใกล้นี้
หรือจะเป็นคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ ที่สามารถปรับเปลี่ยนตัวอักษรหรือภาษาบนหน้าคีย์ได้ตามใจ เพราะแต่ละคีย์กดที่มี 114 ปุ่ม ล้วนทำจาก OLEDs ทั้งสิ้น
จะเห็นว่าการวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับ
OLED กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ต่อไปเราอาจได้เห็นอุปกรณ์ธรรมดาในวันนี้ กลับไม่ธรรมดาขึ้นมาได้ วันหนึ่งเราอาจหยิบหนังสือพิมพ์จอ OLED ส่วนตัวมาอ่านและดูภาพข่าวล่าสุดได้ทันทีทุกเวลา และที่สำคัญยังพับหรือม้วนเก็บลงในกระเป๋าได้เหมือนเดิม หรือเราอาจจะไม่ได้เห็นหลอดไฟตามเพดานกันอีกต่อไป เมื่อทั้งเพดานกลายเป็นแผง OLED ที่ให้แสงสว่างแทน ที่น่าสนใจในบ้านเราคือ อาจได้เห็นพี่วินมอเตอร์ไซต์ ใส่เสื้อจอโฆษณาเคลื่อนที่ก็เป็นได้
นักวิจัยทั่วโลกกำลังคิดค้นหาวิธีทำให้
OLED มีแสงสว่างสูง มีประสิทธิภาพและอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น โดยการปรับปรุงวัสุดของ OLED และ Substrates และพัฒนาการผลิตให้ถูกขึ้น แต่ใช่ว่าเทคโนโลยีฟังยากเหล่านี้จะวิจัยกันได้เฉพาะต่างประเทศ เพราะความจริงแล้วในประเทศไทยของเราก็มีหน่วยงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านนี้อยู่หลายแห่งด้วยกัน อย่างทางด้านวิศวกรรมโมเลกุลเพื่อเปลี่ยนสีของแสงที่เปล่งออกมานั้น มีการวิจัยกันที่ ศูนย์นาโนศาสตร์และนาโนเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหิดล หรือด้านการสังเคราะห์โพลิเมอร์เปล่งแสงเพื่อผลิตเป็นอุปกรณ์ OLED นี้ มีทั้งที่ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) , ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (NANOTEC) , จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย , มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
บทวิเคราะห์
ข้อเปรียบเทียบระหว่างจอ
OLED และจอ LCD
จอ OLED มีขนาดเล็ก มีประสิทธิภาพสูงกว่าจอ LCD และเหมาะสำหรับแสดงภาพ แบบจอแบนจอ OLED สามารถเปล่งแสงในตัว และไม่ต้องใช้ไฟจากด้านหลัง(Back Light) ซึ่งจอLCD ต้องใช้ ไฟจาก ด้านหลัง (Back Light)
จอ OLED จึงมีขนาดเล็กกว่าจอ LCD
จอ OLED ใช้พลังงานน้อยกว่าจอ LCD
จอ OLED มีน้ำหนักน้อยจอ LCD
จอ OLED ต้นทุนการผลิตต่ำกว่าจอ LCD
เนื่องจากจอ OLED เปล่งแสงจากภายใน จึงสามารถมองภาพได้จอ ทุกมุม(165 องศา) แต่ภาพในจอ LCD จะจางหายเมื่อ อยู่ในที่สว่างจอ OLED สามารถแสดงภาพแบบ Real Time ซึ่งจอ LCD จะมีปัญหาในแสดงภาพแบบ Real Time
จอ OLED สามารถปรับแสงสว่างและ Contrast ได้ดีกว่าจอ LCD
จอ OLED สามารถม้วนได้ และ แสดงภาพบนเนื้อผ้าได้
ในปัจจุบันนี้ จอภาพแสดงผลของกล้องถ่ายรูปดิจิตอล (รวมไปถึงอุปกรณ์อื่นๆ ด้วย) ต่างก็เป็นชนิด LCD ซึ่งมีการแสดงผลในระดับที่เรียกว่ายอดเยี่ยมและสะดวกสบาย แต่มันก็ยังคงมีปัญหาอีกอย่างหนึ่งของมันที่เป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่สำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ทั้งหลาย นั่นคือเรื่องของการใช้พลังงาน ซึ่ง LCD จัดเป็นหนึ่งในชิ้นส่วนที่บริโภคพลังงานสูงเป็นอันดับต้นๆ ซึ่งก็ส่งผลให้อุปกรณ์ชิ้นนั้นๆ สามารถใช้งานได้น้อยลง เพราะพลังงานจากแบตเตอรี่หมด
ปัญหาที่ว่านี้ท้าทายนักวิจัยและผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เคลื่อนที่เป็นอย่างมาก ซึ่งต่างก็สรรหาวิธีเพื่อจะลดการใช้พลังงานในอุปกรณ์ของตนลง หรือเพื่อให้แบตเตอรี่สามารถจ่ายพลังงานได้ยาวนานขึ้นนั่นเอง ไม่เพียงแต่เฉพาะกล้องถ่ายรูปเท่านั้น ยังรวมไปถึงอุปกรณ์อื่นๆ ที่ใช้
LCD ด้วย เช่น โทรศัพท์มือถือ, คอมพิวเตอร์, PDA, TV ฯลฯ ต่างก็หาวิธีที่จะมาแก้ทางและขจัดจุดอ่อนให้ได้ ในที่สุด ตัวตายตัวแทนที่จะมาทำหน้าที่ก็คือ OLED ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่จะเข้ามาพลิกโฉมระบบการแสดงผลของโลกใบนี้
OLED สามารถแสดงผลได้ในลักษณะบิดงอซึ่งทำให้การผลิตและออกแบบมีความยืดหยุ่นได้อีก นอกจากนั้นมันยังใช้ในลักษณะของจอภาพแบบโปร่งแสงได้ด้วย แถมยังมีต้นทุนการผลิตต่ำอีกต่างหาก แบบนี้กระจกรถหรือกระจกบ้านที่มีการแสดงข้อมูลได้แบบที่เราเห็นในภาพยนตร์แนวไซไฟทั้งหลายก็คงจะได้เห็นกันในอีกไม่นานเกินรอ (ข้อดีของ OLED ที่มีมากมายเหลือคณานับเช่นนี้ มีหรือที่บรรดาผู้ผลิตกล้องถ่ายภาพจะไม่สนใจ) ข้อดีอีกอย่างหนึ่งของเทคโนโลยี OLED ก็คือความบางระดับ "เฉียบ" ของมัน ซึ่งจากข้อมูลทางเทคนิคแล้ว มันยังสามารถผลิตออกมาได้บางกว่ากระดาษเสียอีก นั่นย่อมหมายความว่ากระดาษอิเล็กทรอนิกส์ก็เป็นเรื่องที่ไม่นานเกินรอเช่นกัน ดังจะเห็นได้จาก OLED TV ตัวแรกของ Sony ในรุ่น XEL-1 ที่ทำเอาความบางของ LCD TV ตกขอบไปเลย บรรดาผู้ผลิตกล้องต่างๆ ก็ออกมาขานรับเทคโนโลยีนี้และพัฒนาต่อยอดให้กับผลิตภัณฑ์ของตนอย่างขนานใหญ่ และคาดว่าผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในเทคโนโลยีของ OLED จะทยอยออกสู่ตลาดในเวลาไม่นานนักนับจากนี้ไป และไม่เพียงเครื่องมือที่ใช้ตามบ้านเท่านั้น มันยังรวมไปถึงป้ายโฆษณา, ด้านการจราจร, การบิน และอีกมากมายที่จะตามมา